ครูควรปรับบทบาทอย่างไรในสถานการณ์โควิด

โดย | 13 เมษายน 2021 | สาระ EF

แม้ว่าในสถานการณ์โควิดที่มีมาตรการรักษาระยะห่าง จะทำให้บรรยากาศการเรียนการสอนเปลี่ยนไป มีการสื่อสารและการเรียนการสอนผ่านทางออนไลน์มากขึ้น การสัมผัสร่างกายระหว่างครูกับเด็กน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่า ครูจะลดบทบาทในการใส่ใจใกล้ชิดเด็กลง  เวลาเช่นนี้ครูกลับมีบทบาทสำคัญที่จะทำให้เด็กยังคงได้เรียนรู้ทักษะทางสังคมและได้รับการดูแลที่อบอุ่นใกล้ชิด  สถานการณ์โควิดจะต้องไม่เป็นอุปสรรคในการสร้างสัมพันธภาพระหว่างเด็กกับครู ซึ่งสัมพันธภาพที่ดีเป็นหัวใจสำคัญให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

          นักวิชาการภาคีเครือข่าย  Thailand EF Partnership มีข้อเสนอแนะว่า สิ่งสำคัญอยู่ที่มุมมองทัศนคติที่คุณครูมีต่อเรื่อง new normal กับสัมพันธภาพ ดังนี้

  1. ครูปฐมวัยต้องตระหนักว่า ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับเด็ก จะทำให้เด็กเกิดความมั่นคงทางจิตใจ  เด็กจะมีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยถ้ามีคนที่สามารถเข้าไปคุยด้วยได้โดยไม่ตัดสิน ไม่ต่อว่า ให้คำตอบได้ และยอมรับในตัวเขา
  2. เวลาไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียวที่จะสร้างสัมพันธภาพ แต่จะต้องเน้นที่คุณภาพของความสัมพันธ์ ที่ครูปฐมวัยมีให้เด็ก ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดว่าเด็กจะมีความมั่นคงทางใจหรือไม่ จะเห็นคุณค่าในตนเองหรือไม่ จะมีพลังชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าหรือไม่
  3. ครูควรตระหนักว่าตนมีความสำคัญมากเพียงไรต่อชีวิตของเด็ก โดยเฉพาะในกรณีที่เด็กมีความไม่มั่นคงทางจิตใจมาจากบ้าน ความเมตตาและความเข้าใจของครูจะส่งผลที่ดีต่อเด็กในระยะยาว ทั้งในด้านการเรียนรู้ การใช้ชีวิต  ครูต้องตระหนักว่าตนไม่ใช่เพียงครูผู้สอน แต่เป็นผู้สร้างฐานชีวิตและจิตใจที่มั่นคงให้แก่เด็ก

ครูควรเรียนรู้การใช้เทคนิค “วินัยเชิงบวก” กับเด็ก

นอกจากการปรับมุมมองของครูให้ตระหนักถึงสภาวะปัญหาที่เด็กกำลังเผชิญด้วยความเมตตาแล้ว สิ่งสำคัญที่อีกประการหนึ่ง คือครูควรเรียนรู้การใช้เทคนิค วินัยเชิงบวก กับเด็ก เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ครูต้องการ ขณะที่ยังคงรักษาสัมพันธภาพ รักษาความมั่นคงทางจิตใจของเด็กไว้ได้ รวมทั้งตระหนักว่า เด็กเรียนรู้ได้ดีจากการเลียนแบบ ถ้าเด็กได้เห็นสัมพันธภาพที่ดี การปฏิบัติดี พูดดีต่อกัน ระหว่างผู้บริหารกับครู ครูกับครูด้วยกัน และครูกับเด็กๆ เด็กก็จะเลียนแบบซึมซับสิ่งที่เห็นนั้นและปฏิบัติตามด้วยความมั่นคงในจิตใจ

ครูควรมีแนวปฏิบัติที่จะส่งเสริมทักษะทางสังคมและอารมณ์ในเด็ก

แนวปฏิบัติที่ครูจะพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ (SEL) ในเด็กโดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด 19[1] องค์กร CASEL ให้ข้อแนะนำว่า

  • กิจวัตรสม่ำเสมอ พยายามจัดกิจวัตรให้เป็นประจำ เพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัยและคาดการณ์ได้ ทำตามตารางเวลาที่ตกลงกันไว้ เวลากินข้าว เวลานอน เวลาทำกิจกรรม ฯลฯ
  • รับฟังความรู้สึกของเด็กๆ  ให้เด็กได้พูดถึงความกังวลใจ ตามวัยของเขา
  • ตัวอยู่ไกล ใจอยู่ใกล้ สัมพันธภาพเป็นหัวใจของการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เด็กๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน อาจรู้สึกว่าต้องแยกตัวอยู่โดดเดี่ยว  ครูควรจัดให้เด็กมีโอกาสพูดคุยกัน เล่าเรื่องต่างๆ แก่กัน และไม่ว่าในชั้นเรียนหรือในออนไลน์ ควรมีความสนุก ได้สื่อสารกัน  อาจให้เด็กๆ ระดมสมองคิดค้นวิธีที่ติดต่อเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อน เช่น การทำโครงงานด้วยกัน การพูดคุยติดต่อทางออนไลน์ หรือเขียนจดหมายถึงกัน เป็นต้น
  • เติมเรื่อง SEL เข้าไปในการเรียนรู้  ให้เด็กได้สะท้อนคิดและแบ่งปันบ้าง แสดงความเห็นอกเห็นใจ หรือมีการร่วมมือทำงานกับเพื่อนบ้าง ผ่านออนไลน์ก็ได้  ให้เด็กได้หยุดคิดเพื่อทบทวนอารมณ์และความคิดของตนเองบ้าง หรือทำงานอิสระ หรือได้ขบคิดโจทย์คำถามปลายเปิด ที่ช่วยให้เด็กมีโอกาสสะท้อนประสบการณ์และความรู้สึกของพวกเขา สื่อสารให้คนอื่นเข้าใจ
  • ความรักช่วยผ่อนเบาปัญหาทุกสิ่ง ความรักความเอาใจใส่ต่อเด็กเล็กจะช่วยคลี่คลายความกลัวของเด็กได้[2]  ผู้ใหญ่ควรอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ตามความเป็นจริง ให้สอดคล้องกับความเข้าใจของวัย และผู้ใหญ่ต้องเป็นแบบอย่างของความหนักแน่น
  • ใช้กิจกรรมสร้างสรรค์  เช่น ดนตรีกับการเคลื่อนไหว ศิลปะ งานประดิษฐ์   ฯลฯ เป็นพื้นที่ให้เด็กได้ระบายความรู้สึกต่อสถานการณ์ออกมาอย่างสร้างสรรค์

ครูปฐมวัยต้องปรับความคิดและบทบาทในการส่งเสริมทักษะอารมณ์-สังคม

          การจัดการความรู้ของนักวิชาการสมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทยฯ ร่วมกับนักวิชาการภาคีเครือข่าย Thailand EF Partnership มีข้อเสนอแนะว่า คุณครูต้องปรับ Mindset และบทบาทบางประการในการส่งเสริมทักษะอารมณ์-สังคม ได้แก่

  • ใส่ใจในการตอบสนองเด็ก แสดงบทบาทให้ความสนับสนุนความสนใจและการเรียนรู้ของเด็กอย่างจริงจัง มองสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าสถานการณ์หรือพฤติกรรมของเด็กในเชิงบวก จัดหาสิ่งเร้าหรืออุปกรณ์ที่เหมาะสม เอาตัวครูเข้าไปมีส่วนร่วมกับเด็ก เล่นกับเด็ก แชร์สถานการณ์เรื่องราว รวมทั้งร่วมประสบการณ์กับเด็ก ให้เด็กได้แสดงบทบาทนำแล้วครูเป็นผู้ตามบ้าง
  • ใช้ทุกโอกาสที่มีความหมาย ทุกช่วงจังหวะที่เป็นไปได้ เพื่อช่วยเด็กในการฝึกทักษะกำกับอารมณ์ตนเองและเข้าสังคมเพื่อนได้อย่างราบรื่น
  • ปลูกฝัง SEL แก่เด็กอย่างง่ายๆ เช่น แชร์ความรู้สึกของครูเองจากเหตุการณ์หรือประสบการณ์ใดๆ ที่ครูเคยผ่านมา แล้วชวนเด็กๆ คุย  หรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์หรือความสัมพันธ์ในสังคมให้เด็กฟัง และกระตุ้นให้เด็กแชร์อารมณ์ความรู้สึกของตนเองบ้าง เป็นต้น
  • ใช้สถานการณ์โควิดนำไปสู่การคิดถึงคนอื่น ครูต้องช่วยให้เด็กเรียนรู้ว่า การที่เราทั้งสังคมรักษาสุขอนามัยที่ดี ระวังการแพร่ระบาดเชื้อโรคนั้น  เป็นไปเพื่อทั้ง “ตัวฉันและคนอื่น” ไม่ใช่เพื่อฉันปลอดภัยคนเดียวเท่านั้น เพื่อปลูกฝังให้เด็กรู้จักคิดถึงผู้อื่น เห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักกันแบ่งปัน เอื้ออาทรและป้องกันไม่ให้เกิดการกีดกันแบ่งแยกในหมู่เด็ก ต้องไม่ให้ social distancing เป็นข้อจำกัดหรืออุปสรรค ในการสร้างโอกาสการเรียนรู้เรื่องอารมณ์สังคม
  • เปลี่ยน mindset เกี่ยวกับกิจกรรมบางประเภท เช่น ศิลปะ เพราะหากมองกิจกรรมศิลปะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ SEL ครูต้องไม่ใส่ใจไปที่ผลลัพธ์หรือชิ้นงาน หากแต่ใส่ใจไปที่กระบวนการและความรู้สึกของเด็ก ไม่ว่าเด็กจะทำอะไรออกมาครูจะยอมรับ เพื่อให้เด็กรับรู้ว่าครูกำลังฟัง กำลังเห็น และยอมรับความรู้สึกที่เขากำลังสื่อสารออกมา เด็กก็จะเรียนรู้จากท่าทีของครู

[1]CASEL Guide อ้างแล้ว

[2] Euro-WHO, 2020  อ้างแล้ว