ในทางหลักการ การพัฒนาเด็กและเยาวชนในประเทศไทยไม่ว่าโดยหน่วยงานด้านอนามัยแม่และเด็ก หรืองานด้านการศึกษา ต่างได้ให้ความสำคัญและมุ่งดำเนินการตามแนวทาง “พัฒนาการ 4 ด้าน” ได้แก่ พัฒนาการด้านร่างกาย ด้านอารมณ์จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา ต่อเนื่องมากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ในทางปฏิบัติ กล่าวได้ว่า เมื่อเติบโตเข้าสู่ระบบการศึกษาระดับอนุบาล ประถมและมัธยมนั้น พัฒนาการด้านอื่นๆ ของเด็กๆ ก็ถูกละเลยไปเกือบสิ้น ถนนทุกสายมุ่งสู่การพัฒนาด้านสติปัญญา คือ การเรียนเขียน อ่าน คิดคำนวณ เป็นสำคัญ ซึ่งแท้ที่จริงก็เป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ เสี้ยวเดียวเท่านั้นของการพัฒนาสติปัญญาในภาพรวม
นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญหนึ่งของปัญหาการพัฒนาเด็กไทย นับตั้งแต่พัฒนาการที่ล่าช้าในเด็กปฐมวัยโดยเฉพาะด้านภาษา ต่อเนื่องเป็นปัญหา IQ, EQ ต่ำกว่าเกณฑ์ในเด็กประถมศึกษา และปัญหาพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ทั้งปวงในวัยรุ่น; ติดยา ติดเกม ก้าวร้าว ซึมเศร้า และสมรรถนะการคิดและกำกับตนเองต่ำ ทั้งนี้ก็เพราะตั้งแต่ในช่วงปฐมวัยซึ่งเป็นช่วงวางเสาเข็มของชีวิต พัฒนาการของเด็กปฐมวัยไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่และสมดุลทุกด้านนั่นเอง
กว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา งานวิจัยของนานาชาติด้านประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience) มีความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ช่วยเผยความลี้ลับของสมองที่มนุษย์ไม่เคยเข้าใจมาแต่อดีต ให้ปรากฏชัดเจนขึ้นว่า ธรรมชาติการทำงานสมองของมนุษย์เราเป็นอย่างไร และที่สำคัญ ช่วยให้เราได้เห็นว่า สมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่ควบคุมบัญชาการชีวิตนั้น เกี่ยวข้องกับพัฒนาการในด้านอื่นๆ ทั้งร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม และการเรียนรู้ของเราอย่างไร โดยเฉพาะความเข้าใจต่อพัฒนาการด้านทักษะสมองส่วนหน้าที่เรียกว่า Executive Functions (EF) ซึ่งมีงานวิจัยมากมายชี้ชัดว่า เป็นพัฒนาการที่มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพอยู่ในตัว เมื่อได้รับการฝึกฝนจนทักษะ EF นี้ฝังเป็นโครงสร้างถาวรในสมองตั้งแต่ช่วงปฐมวัย จะเป็นต้นธารสำคัญของการสร้างบุคลิกภาพหรือคุณลักษณะที่สำคัญและจำเป็น นำไปสู่ความสำเร็จของชีวิตได้ เพราะ EF เป็นทักษะที่ช่วยให้เด็กเยาวชน คิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น อยู่กับคนอื่นเป็น และมีความสุขในชีวิตเป็น และหาก EF ไม่ได้รับการส่งเสริม ก็จะส่งผลตรงข้าม กลายเป็นผลลบทั้งต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชนและสังคม
ดังนั้น พัฒนาการด้านทักษะสมอง EF จึงเป็นธรรมชาติของสมองที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ครูและบุคลากรที่ทำงานกับเด็ก จำเป็นต้องเข้าใจ และนำความเข้าใจเรื่องธรรมชาตินี้ไปส่งเสริมเด็กทุกช่วงวัยให้สอดคล้อง ไม่ทำในสิ่งที่ขัดขวางต่อพัฒนาการของสมอง EF โดยควรฝึกฝนต่อเนื่องให้เด็กมีความสามารถในคิด ด้วยการให้ประสบการณ์ที่หลากหลาย ได้ลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง ให้เด็กฝึกคิดยืดหยุ่น พร้อมๆ ไปกับการฝึกการยับยั้ง อดทนรอคอยได้ ฝึกให้เด็กได้วางแผนตามวัยและลงมือทำด้วยตนเอง เมื่อทำสิ่งใด ก็ให้มุ่งมั่นจนกว่าสำเร็จ ไม่ท้อถอยต่อความยากลำบากง่ายๆ ยอมรับความท้าทายได้เหมาะสมตามวัย ได้รับการส่งเสริมให้ริเริ่มกล้าลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคยมาก่อน ขณะเดียวกัน ให้โอกาสเด็กฝึกการกำกับตนเอง ฝึกการมีสมาธิ ทำสิ่งใดๆ ให้จดจ่อยาวนานขึ้น ได้ฝึกจัดการและกำกับอารมณ์ตนเอง และให้ได้ฝึกการทบทวนประเมินตนเองเสมอๆ ในความควรหรือไม่ควรใดๆ การฝึกฝนเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะเพิ่มความสามารถของสมอง ทำให้กระบวนการคิด การทำ การจัดการของเด็กฝังตัวเป็นคุณลักษณะที่ดี และมีสมรรถนะสูงขึ้นเรื่อยๆ
“งานวิจัยยังชี้ว่า การฝึก EF สามารถนำพาไปสู่การมีมโนธรรมสำนึกหรือศีลธรรมในบุคคล”
นอกจากพัฒนาการด้านทักษะสมอง EF แล้ว พัฒนาการด้านตัวตน (Self) ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องได้รับโอกาสพัฒนาไปพร้อมๆ กันอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่ Self ก็เป็นอีกหนึ่งธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน เป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยทารก จากการที่มี “แม่ (หรือผู้ดูแลหลัก) ที่มีอยู่จริง” ทารกได้รับการตอบสนองจาก “แม่” ได้รับความรัก ความเอาใจใส่ มีสายสัมพันธ์ทางบวกกับ “แม่”ต่อเนื่อง จนถึงวัยประมาณ 3 ขวบ เด็กน้อยก็จะเกิดความรับรู้ในตัวตนของตนเอง (Self) ว่า “ตัวเรานั้นมีอยู่จริง” ตนเป็นอีกหนึ่งชีวิตที่แยกจาก “แม่” นั่นคือจุดตั้งต้นของพัฒนาการด้านตัวตน และจากการรับรู้ตัวตนของตนเอง ด้วยการเลี้ยงดูที่มีความรัก ความใส่ใจ เด็กจะค่อยๆพัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเอง (Self – Esteem) และจากการตระหนักคุณค่าของตนเองนี้เอง เด็กก็จะดูแลรักษาและธำรงคุณค่าในตนนี้ ไม่ปล่อยตนเองให้เกิดความเสียหาย นี่จึงเป็นพื้นฐานของการพัฒนา Self – Control หรือความสามารถในการกำกับควบคุมตนเอง ให้ดำเนินชีวิตไปในครรลองหรือไปสู่เป้าหมายของตนเองต่อไป
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริบทของวัฒนธรรมไทยโดยพื้นฐานไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อพัฒนาการด้านตัวตน (Self) ของเด็ก คตินิยมที่ว่า “ชมนักมักเหลิง” หรือการมุ่งเน้นให้เด็กต้องนอบน้อม สละตัวตนเพื่อเดินตามวิถีที่ผู้ใหญ่กำกับ ทำให้การส่งเสริมพัฒนาการด้านตัวตนในเด็กขาดหายไปจากกระบวนการดูแล พัฒนาและจัดการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนไทยอย่างน่าเสียดาย
ทั้งการไม่เข้าใจธรรมชาติของทักษะสมอง EF และไม่เข้าใจธรรมชาติของตัวตน (Self) ในเด็ก ก็เป็นอีก 2 สาเหตุที่ทับถมซ้อนกับระบบการศึกษาที่เน้นแข่งขันเพื่อสอบ ทำให้โอกาสในการพัฒนาที่สำคัญของเด็กไทยแหว่งวิ่นหายไป และส่งผลต่อสถานการณ์ปัญหาเด็กและเยาวชนที่กล่าวไว้ข้างต้นหนักหน่วงยิ่งขึ้น ดังนั้น จากการขับเคลื่อนองค์ความรู้เรื่องทักษะสมอง EF ในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2557 คณะนักวิชาการภาคี Thailand EF Partnership และสถาบัน RLG (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป) จึงเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่เด็กไทยควรได้รับการพัฒนาอย่างถูกทิศทาง ตามธรรมชาติจริงแท้ของชีวิต โดยผู้ใหญ่ทุกคนที่เกี่ยวข้องควรมีความรู้พื้นฐาน (Knowledge Foundation) ที่เรียกว่า “ความรู้ฐานราก 3 มิติการพัฒนาเด็ก” ประกอบด้วย
- มิติพัฒนาการ 4 ด้าน ทั้งร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคม ละสติปัญญา (ที่ไม่เน้นเฉพาะการอ่านออกเขียนได้)
- มิติพัฒนาการด้านทักษะสมอง EF
- มิติพัฒนาการด้านตัวตน (Self)
โดยพัฒนาไปพร้อมกันในตัวเด็กคนเดียวกัน ไม่แยกส่วน ให้ทุกประสบการณ์ที่เด็กได้รับไม่ว่าจากที่บ้านหรือโรงเรียน ชุมชน มีทั้ง 3 มิติเกิดขึ้นไปอย่างสอดคล้องกลมกลืน บนฐานความรู้ความเข้าใจของผู้ใหญ่ทุกคน
การขับเคลื่อนของคณะนักวิชาการภาคี Thailand EF Partnership และสถาบัน RLG (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป) โดยการสนับสนุนของ สสส. ได้แสดงให้เห็นเชิงประจักษ์ทั้งในพื้นที่ต้นแบบ โรงเรียนต้นแบบ ฯลฯ แล้วว่า การส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 3 มิติไปพร้อมกันนี้เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่าย ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพงใดๆ เพียงใช้มุมมอง หรือ Mindset ของผู้ใหญ่เท่านั้น ก็สามารถจะสร้างสรรค์และจัดกระบวนการ เพื่อพัฒนาเด็กไทยทุกคน ในทุกพื้นที่ ให้ได้รับการพัฒนาโดยสมบูรณ์ได้อย่างแน่นอน