การวางแผนป้องกันยาเสพติดในชุมชน
ชุมชนจะพัฒนาแผนป้องกันยาเสพติดบนฐานการวิจัยได้อย่างไร กระบวนการวางแผนป้องกันยาเสพติดของชุมชน ทำได้โดย ;
- ระบุปัญหา; สภาพและลักษณะของการติดยาเสพติดในชุมชน( Identifies)
- พัฒนาแผนบนฐานทุนที่อยู่จริง
- พัฒนาเป้าหมายระยะสั้น ให้เชื่อมโยงกับการดำเนินงานโปรแกรมป้องกันบนฐานงานวิจัย
- วางวัตถุประสงค์ระยะยาว เพื่อว่าแผนและฐานทุนจะเป็นไปได้ในอนาคต
รวมการประเมินระหว่างดำเนินการเข้าไปด้วย เพื่อวัดผลความมีประสิทธิผลของกลยุทธ์การป้องกัน
กระบวนการวางแผน
การวางแผนมักจะเริ่มด้วยการประเมินสถานการณ์การเสพสารเสพติดและปัญหาอื่นๆ ของเด็กและเยาวชนในชุมชน เพื่อประเมินระดับการใช้สารเสพติดในชุมชน พร้อมไปกับการตรวจสอบระดับความเสี่ยงอื่นที่มีอยู่ในชุมชน (เช่น ความยากจน) ผลของการประเมินนี้จะช่วยยกระดับความตระหนักของชุมชนที่มีต่อระดับความหนักหน่วงของปัญหา และร่วมกันเลือกโปรแกรมที่เห็นว่ามีความสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนมากมี่สุด เช่น จะเลือกใช้โปรแกรมป้องกันในโรงเรียนเท่านั้น หรือจะวางแผนโปรแกรมที่สามารถใช้ร่วมกันได้ทั้งชุมชน
ต่อจากนั้นเป็นการประเมินความพร้อมของชุมชนในการป้องกัน ซึ่งก่อนที่จะเริ่มแผนงานป้องกัน จะต้องพิจารณาขั้นตอนเพิ่มเติม ในเรื่องการให้การศึกษาแก่คนในชุมชนซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นยิ่ง จากนั้นการทบทวนโปรแกรมเดิมที่มีอยู่ ก็มีความสำคัญ เพื่อพิจารณาความต้องการของชุมชนและฐานทุนอื่นๆ ที่มี
การวางแผนป้องกันการใช้ยาเสพติดของชุมชนจะได้ประโยชน์ จากการร่วมมือกันขององค์กรต่างๆที่อยู่ในชุมชน เพื่อช่วยกันแก้สถานการณ์วัยรุ่น การจัดการประชุมของผู้นำองค์กรที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชนจะช่วยให้เกิดมุมมอง ความคิด การระดมฐานทุนและผู้เชี่ยวชาญที่จะมาช่วยกันพัฒนาและดำเนินโครงการให้ประสบความสำเร็จ การวางแผนจะเกิดความยั่งยืน จำเป็นต้องมีทุนเพื่อพัฒนาเจ้าหน้าที่และใช้ในการบริหารจัดการโครงการ ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับในพันธะสัญญาร่วมกันในระยะยาวว่าจะสนับสนุนด้านการเงิน และการเชื่อมโยงกับระบบดำเนินการที่มีอยู่ทุกภาคส่วนเข้าหากัน
ชุมชนจะใช้หลักการบนฐานงานวิจัย ในการวางแผนป้องกันได้อย่างไร
หลักการข้างต้นหลายข้อ ได้ให้กรอบแนวคิดในการวางแผนป้องกันเพื่อให้เกิดประสิทธิผล โดยให้ key concepts ที่ใช้งานวิจัยเป็นฐาน เช่น หลักการข้อ 3 ที่ว่า “โปรแกรมป้องกันฯ จะต้องพูดถึงรูปแบบของปัญหาการใช้สารเสพติดในชุมชนท้องถิ่น โดยมุ่งเป้าไปที่ปัจจัยเสี่ยงที่อาจขยายตัว และเสริมพลังปัจจัยป้องกันตามที่ระบุไว้ให้เข้มแข็งขึ้น” หลักการนี้อธิบายให้เห็นว่า แผนป้องกันควรจะสะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์ในชุมชนและที่สำคัญต้องชี้ออกมาได้ว่า อะไรบ้างที่ชุมชนจำเป็นต้องทำ
ความร่วมมือของทั้งชุมชนควรจะนำทางด้วยหลักการข้อ 9 ที่ว่า “ โปรแกรมป้องกันฯ จะต้องมุ่งถึงผู้คนทุกกลุ่ม ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ” เมื่อวางโครงสร้างโปรแกรมอย่างพิถีพิถัน ชุมชนจะไม่ตกหล่นกลุ่มใด แต่สามารถดูแลและให้บริการแก่คนทุกกลุ่มวัย รวมถึงกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง โดยไม่ตีตรา
ส่วนโปรแกรมที่มีความซับซ้อน เช่น โปรแกรมสำหรับครอบครัวในระบบการศึกษา ตามหลักการข้อ 5 ที่ว่า “โปรแกรมป้องกันบนฐานครอบครัวต้องเสริมพลังความผูกพันและสัมพันธภาพของครอบครัว และเพิ่มเติมทักษะการเลี้ยงดูแก่ผู้ใหญ่ เช่น การพัฒนาเด็ก การพูดคุยสื่อสารกับเด็ก รวมทั้งการฝึกอบรมและให้ข้อมูลเรื่องสารเสพติด
หลักการเหล่านี้จะให้แนวทางในการคัดเลือกหรือปรับโปรแกรม ให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของแต่ละชุมชน โดยต้องตระหนักว่า ไม่ใช่ทุกโปรแกรมจะไปได้กับหลักการป้องกันบนฐานงานวิจัยเหล่านี้ ซึ่งเพื่อความสำเร็จที่เกิดประสิทธิผลแท้จริง อาจจะต้องรวมเอาองค์ประกอบหลักที่ระบุไว้ในงานวิจัย มาประกอบรวมกันเข้าไว้ ได้แก่ การมีโครงสร้างการดำเนินการที่เหมาะสม มีเนื้อหาในการสื่อสาร มีฐานทุนและวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เพียงพอสำหรับการอบรม เป็นต้น
ชุมชนจะประเมินระดับของความเสี่ยงในการใช้ยาได้อย่างไร
- วัดจากธรรมชาติและแบบแผนการขยายตัวของการใช้ยาเสพติด รวมทั้งแนวโน้มที่เกิดขึ้น
- รวบรวมข้อมูลของปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยป้องกันที่มีอยู่ทั่วทั้งชุมชน
- เข้าใจวัฒนธรรมชุมชนและพิจารณาว่าวัฒนธรรมนั้นส่งผลต่อการใช้ยา หรือถูกกระทบโดยการใช้ยาเสพติดอย่างไร
- ปรึกษากับผู้นำชุมชนที่ทำงานด้านการป้องกันยาเสพติด การบำบัด การบังคับใช้กฎหมาย ด้านสุขภาพจิต และด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
- ประเมินความตระหนักรู้ของชุมชนในปัญหายาเสพติด
- ระบุการป้องกันที่ทำกันอยู่เพื่อให้เห็นสภาพการณ์ของปัญหา
นักวิจัยได้พัฒนาเครื่องมือหลายอย่างเพื่อใช้ในการประเมินปัญหายาเสพติดในชุมชน โดยส่วนใหญ่แล้วเครื่องมือเหล่านี้จะใช้ประเมินธรรมชาติของปัญหา เช่น มียาเสพติดอะไรบ้างที่หาซื้อได้ในชุมชน ใครเป็นผู้ใช้ มีผู้ใช้จำนวนเท่าใด รวมถึง การประเมินปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น การต้องโทษของเยาวชน การขาดเรียน และการออกจากโรงเรียนกลางคัน เป็นอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือเพื่อประเมินสถานะความเสี่ยงเป็นรายบุคคล ในการเริ่มต้นกระบวนการประเมิน สิ่งสำคัญมากคือการรวบรวมข้อมูลที่เพียงพอ เพื่อให้ผู้วางแผนสามารถมุ่งเป้าไปที่กลุ่มประชากรหรือพื้นที่ได้ชัดเจนขึ้น
จากตัวอย่างของระบบป้องกันที่ชื่อ Communities that Care ซึ่งพัฒนาโดย Hawkins และคณะจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (Hawkins et al. 2002), ซึ่งอยู่บนวิธีการแบบระบาดวิทยา (Epidemiological) การประเมินจะทำโดยรวบรวมข้อมูลการกระจายตัวของปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยป้องกันในชุมชน ซึ่งช่วยให้ผู้วางแผนท้องถิ่นสามารถระบุพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่มีความเสี่ยงสูงสุด ระดับฐานทุนป้องกันต่ำสุด เครื่องวิเคราะห์ชิ้นนี้ช่วยให้ผู้วางแผนสามารถเลือกโครงการป้องกันที่มีประสิทธิผลสูงที่สุดได้
ชุมชนมีความพร้อมที่จะทำการป้องกันจริงหรือ
การระบุระดับความเสี่ยงที่จริงจังในชุมชน ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ชุมชนมีความพร้อมที่จะลงมือทำ จากการศึกษาในชุมชนเล็กๆ หลายแห่ง นักวิจัยพบว่า มีความพร้อม 9 ขั้นที่จะนำไปสู่การวางแผนป้องกัน (Plested et al. 1999). ด้วยการปรับมาตรวัดต่างๆ ให้เข้ากับการประเมินความรพ้อม นักวางแผนป้องกันยาเสพติดจะสามารถระบุขั้นตอนสำคัญที่จำเป็นได้ แม้งานวิจัยส่วนใหญ่ในเรื่องขั้นตอนความพร้อม จะศึกษามาจากชุมชนขนาดเล็ก แต่ในชุมชนขนาดใหญ่ก็พบว่า ขั้นตอนเหล่านี้สามารถทำให้เกิดโครงสร้างในการอธิบายระดับความรับรู้ของปัญหายาเสพติดในชุมชนของพวกเขาได้ และมองเห็นความพร้อมที่จะนำไปสู่การพัฒนาโปรแกรมป้องกัน ความตระหนักรู้จะได้รับการประเมินใน 2 ระดับคือ ; ระดับสาธารณะ (เช่น โดยการศึกษาธรรมชาติและระดับความครอบคลุมของยาเสพติดในข่าว) กับระดับเจ้าหน้าที่ (โดยพิจารณาว่าเจ้าหน้าที่ได้แสดงบทบาทในการป้องกันยาเสพติดในชุมชนอย่างไร)
ผู้นำชุมชนสามารถจะเริ่มประเมินความพร้อมของชุมชนตนเองได้ โดยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญในชุมชนของตน
จะจูงใจให้ชุมชนเล็กๆลงมือดำเนินโปรแกรมป้องกันยาเสพติด
บนฐานงานวิจัยอย่างไร
จำเป็นต้องมีการจูงใจชุมชนด้วยวิธีการต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับขั้นความพร้อมของแต่ละชุมชน ที่ขั้นต่ำสุด การประชุมของบุคคลหรือชุมชนเล็กๆ เป็นเรื่องจำเป็นเพื่อหาแรงสนับสนุนจากคนที่มีอิทธิพลในชุมชน ส่วนถ้ามีระดับความพร้อมสูง ก็อาจจะจัดตั้งคณะกรรมการหรือแนวร่วมของชุมชนที่ผู้นำชุมชนจากภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมมือกัน เพื่อรุกเข้าสู่การปฏิบัติการ พัฒนาการรณรงค์ให้ความรู้แก่สาธารณะ นำเสนอข้อมูลเพื่อสนับสนุนการสร้างโครงการ และดึงดูดผู้ที่พร้อมจะเข้ามาร่วมสนับสนุนโครงการในทุกระดับ.
ทั้งนี้ การจัดตั้งคณะกรรมการระดับชุมชน ต้องใส่ใจว่ายุทธศาสตร์บนฐานงานวิจัย มีความสอดคล้องควบคู่ไปกับโปรแกรมในระดับรายบุคคล โรงเรียน ชุมชน การวางโครงสร้างให้สนับสนุนให้ผู้แทนฝ่ายต่างๆในชุมชนให้สามารถสื่อสารในการป้องกัน การจัดหาแหล่งสนับสนุน และการทำให้โปรแกรมป้องกันเข้มแข็ง การเชื่อมเข้าไปในหลักสูตรของโรงเรียน แม้จะเชื่อมกับชุมชนน้อย แต่ก็เป็นหนึ่งความพยายามที่ได้ผลในการป้องกัน
งานวิจัยชี้ว่า โปรแกรมป้องกันสามารถใช้สื่อในการสร้างความตระหนักในปัญหาการใช้ยาเสพติดในชุมชน และป้องกันการใช้ยาในกลุ่มประชากรเฉพาะได้รวมถึงการใช้ข้อมูลและวิทยากรจากท้องถิ่นที่ชี้ให้เห็นความหนักหน่วงและสภาพที่เป็นจริงของการใช้ยาเสพติดในชุมชน และการต้องตัดสินใจลงมือทำ
การป้องกันการใช้ยาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชน
ชุมชนจะประเมินประสิทธิผลของความพยายามในการป้องกันที่เป็นอยู่ได้อย่างไร
การประเมินการป้องกันเป็นเรื่องท้าทาย ด้วยเหตุที่มีแหล่งทรัพยากรจำกัด และการเข้าถึงความรู้ในโปรแกรมการประเมินได้ยาก หลายชุมชนเริ่มกระบวนการทบทวนสถานการณ์ที่เป็นอยู่อย่างเป็นระบบ ดังนี้
- มีโปรแกรมอะไรบ้างที่มีอยู่ในชุมชนปัจจุบัน
- มาตรการที่เป็นวิทยาศาสตร์ได้รับการนำไปใช้ เพื่อทดสอบโปรแกรมในระหว่างที่ดำเนินการหรือไม่
- โปรแกรมที่ทำอยู่นั้น สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนหรือไม่
- โปรแกรมดำเนินไปตามที่ออกแบบไว้แต่แรกหรือไม่
- มีเยาวชนที่เป็นกลุ่มสี่ยงที่เข้าถึงโปรแกรมนั้น ๆ สักกี่เปอร์เซนต์
แนวทางการวัดผลอีกหนึ่งแนว คือการเกาะติดกับการหาข้อมูลที่อาจเกี่ยวข้องกับการติดยาของเด็กในโรงเรียนที่มีอยู่ เช่น อัตราการหนีเรียน อัตราการหยุดเรียน อัตราการถูกจับด้วยเหตุใช้ยา หรือการรับตัวเข้าห้องฉุกเฉินจากการใช้ยา ฯลฯ อาจใช้ข้อมูลที่ได้รับจากการประเมินขั้นแรกในชุมชนเป็นข้อมูลฐาน (Baseline) ในการวัดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว และเนื่องจากธรรมชาติและขอบเขตของปัญหาการใช้ยาเสพติดอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามเวลา ดังนั้น จะเป็นการดีที่จะประเมินความเสี่ยงและการสร้างปัจจัยป้องกันของชุมชนเป็นระยะๆ เพื่อให้มั่นใจว่าโปรแกรมจะนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาที่ชุมชนต้องการอย่างแท้จริง
ชุมชนอาจปรึกษากับหน่วยงานป้องกันที่เกี่ยวข้องของภาครัฐ ทั้งในการวางแผนและการดำเนินการ โดยมีแหล่งข้อมูลและเอกสารเผยแพร่ต่างๆ ที่จะช่วยสนับสนุนการทำงานของชุมชน
ส่วนในการประเมินผลกระทบที่มีต่อโปรแกรมในระดับรายบุคคล ชุมชนจำเป็นต้องจัดทำเอกสารเพื่อให้มั่นใจว่า โปรแกรมได้ดำเนินการไปถึงการช่วยเหลือรายบุคคลอย่างเหมาะสมและมีคุณภาพพอ
ในการประเมินโปรแกรมการป้องกันบานฐานโรงเรียน คำถามสำคัญที่ควรถาม เช่น ครูในโรงเรียนได้มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาเพียงพอ และได้พัฒนากระบวนการเรียนการสอนแบบ interactive ที่มีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ นักเรียนได้เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ในแต่ละเนื้อหามากน้อยเพียงใด มีองค์ประกอบในการประเมินผลหรือไม่
แผนของชุมชนควรจะเป็นสิ่งนำทางให้แก่โปรแกรมการป้องกันไปตลอดทาง เมื่อชุมชนได้รับการขับเคลื่อนแล้ว การดำเนินการที่จะทำให้เกิดผลที่ยั่งยืนต้องการเป้าหมายที่ชัดเจน วัดผลได้ มีแหล่งทรัพยากรในระยะยาว รักษาสถานะความเป็นผู้นำ และได้รับการสนับสนุนจากชุมชน เพื่อรักษาโมเมนตัมในการเปลี่ยนแปลงเพื่อป้องกันการใช้ยาเสพติด การวัดผลต่อเนื่องจะช่วยให้ชุมชนได้รับทราบข้อมูลต่อเนื่องของสถานการณ์ด้วยเช่นกัน .
- พ่อแม่ผู้ปกครองอาจทำงานร่วมกับคนอื่นๆ ในชุมชนเพื่อสร้างความตระหนักในปัญหาและความจำเป็นที่จะต้องดำเนินโครงการบนฐานวิจัยเพิ่มขึ้น
- นักการศึกษาอาจทำงานกับคนอื่นในโรงเรียนและระบบโรงเรียนเพื่อทบทวนโปรแกรมที่กำลังดำเนินการอยู่ และ ระบุโปรแกรมป้องกันที่เหมาะสมกับนักเรียน
ผู้นำชุมชนอาจจัดให้มีกลุ่มในชุมชนที่ร่วมกันพัฒนาแผนป้องกัน ประสานกับแหล่งทรัพยากร และประสานงานกิจกรรม รวมทั้งสนับสนุนการทำงานป้องกันในทุกภาคส่วน
แปลและเรียบเรียงจาก
Preventing Drug Use among Children and Adolescents :
A Research-Based Guide for Parents, Educators and Community Leaders (Second Edition), National Institute on Drug Abuse, U.S.Department of Health and Human Resources, 2003